
พญานาคดำแสนสิริจันทรานาคราช

พระวรกายสีดำอมส้ม ทรงเป็นพระราชโอรสพญาศรีสัตตะนาคราช กษัตริย์ฝั่งโขง หนึ่งในนาคาธิบดีทั้ง ๙ กับ พระนางมธุรินรดีเทวี ราชธิดาของ พญาอนันตนาคราช
ท่านพญาเพชรภัทรนาคราช ทรงเรียกพระองค์ว่า "เจ้าชายเล็ก" พญาดำแสนศิริจันทรานาคราช หรือ องค์ดำแสน เป็นพญานาคาราชตระกูลกัณหาโคตรมะ มีผิวกายเป็นสีดำ อายุเก้าหมื่นปีมนุษย์
องค์ดำแสน เป็นพญานาคในตระกูลกัณหาโคตรมะ เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลของพญานาคผู้เชี่ยวชาญด้านการรบ ชอบในศิลปะการต่อสู้อย่างมาก เพราะต้องมีหน้าที่หลัก คือ การทำลายล้างคนชั่วร้าย หรือพญานาคชั่วร้าย
องค์ดำแสน เป็นพญานาคหนุ่มรูปงาม และอาศัย ณ วังบาดาล อยู่ทางตอนใต้ของไทย แถบทะเลอันดามัน ท่านมีนิสัยโอบอ้อมอารี มีเมตตาต่อทุกผู้ ซึ่งผิดจากวงศ์วานของพญานาคตระกูลกัณหาโคตรมะอื่นๆซึ่งมักเป็นพญานาคที่มีนิสัยเกรี้ยวกราด ห่ามๆ และดุดันมาก จริงๆแล้วพญานาคตระกูลนี้ หาใช่เป็นอันธพาล แต่มีจิตใจดีงามทีเดียว เพียงแต่กิริยามารยาทแข็งกระด้างเกินไป จึงมักไม่ถูกอัธยาศัยของตระกูลอื่นสักเท่าไหร่
องค์ดำแสนมีความฉลาดเฉลียว เรียนศิลปะวิทยาการใดๆ ทั้งศาสตร์การต่อสู้ วิชามนตรา วิชาอำพรางกาย วิชาศาตราวุธ ก็แตกฉานกว่านาค อื่นๆ จึงเป็นที่รักและเอ็นดูแก่เหล่าทิพยาจารย์ทั้งหลาย ต่อมาองค์ดำแสนได้ขันอาสา พญาอนันตนาคราช ไปสู้รบกับกองกำลังพญาครุฑที่มารุกราน ด้วยวิชาการรบที่เชี่ยวชาญ อีกทั้งยังได้ “หอกศรีอนันต์เศษ” อาวุธวิเศษที่ได้รับประทานจากพญาอนันตนาคราช ที่สามารถซัดออกไปคราเดียว แต่กระจายตัวเองออกมาเป็น 2 เล่ม 3 เล่ม และขยายแบ่งเป็นร้อยๆ พันๆ เล่มเข้าพุ่งแทงเหล่าครุฑจนตายสิ้น จนองค์ดำแสนได้รับชัยชนะ และได้นำเอาสมบัติของพญาครุฑ
กลับมามอบให้เป็นกำnัลแด่พญาอนันตนาคราช
ชาวนาคตระกูลกัณหาโคตะมะต่างแซ่ซ้องในวีรกรรมขององค์ดำแสน และจัดพิธีปราบดาภิเษกเป็น นาคาธิบดี 1 ใน 9 กษัตริย์นาคราช นามว่า “พญาดำแสนสิริจันทรานาคราช”
พระนางมเหสีคู่พระบารมีในพญาดำแสนสิริจันทรา คือ พระนางมณีจันทรามนตราวิชุรามณีนฤมาสเทวี 'คู่บารมีพลังแห่งแสงจันทร์ '
พระนางมนตรามณีนฤมาส เป็นพระราชบุตรี แห่งพญาอนันตนาคราช และ พระนางรัตนาวดีเทวี
พระราชบุตรีสืบสายโลหิต แห่ง พระนางปทุมมา และ พญาศรีสุทโธนาคราช แม้นคราจุติ จุติมายังครรภ์ แต่เนื่องจากไม่ยอมประสูติ พระราชมารดา จึงกลินบัวนฤมาส อันเป็นบัววิเศษ ฐานประทับ พระแม่ลักษมี ลงไป เกิดอาเพศ ราหู อมจันทรา พระมารดา และ พระราชบุตรี ได้สิ้นพระชนม์พร้อมกัน ท้าวราหูเห็นนาคราชกลืนแก้วบัวสิ้น จึงเข้า เสวยบัว แต่ด้วยพลานุภาพแห่งบัวพระมหาเทวี พระราหูจึงเกิดความทรมาณ จนต้องคาย พระนาคเทวีรัตนามณีออกมา บัวนฤมาส เปล่งรัศมีอย่างแสนสุด
พญาอนันตนาคราช เสด็จมาพร้อม พญาภุชงค์ พญาเวธัตตษีย์ และ พญาเพชรภัทรนาคราช
น้อมคารวะ องค์อสุรินทร์ราหู องค์พระราหู ทรงคืนบัวนั้นให้ 4 จอมมหาเวทย์ ได้รดทิพย์มนต์ จากตบะบารมีตัวเองไปยังบัวนฤมาส ให้ได้ปลิบาน อุบัติเกิดเป็นเทพธิดา พญาอนันตนาคราช เศษะ ขานรับพระราชธิดา ประทานนาม"มณีนฤมาสเทวี" ท่านพญาเวธัตตษีย์ ขอพระนางเป็นพระราชธิดา จะถ่ายทอดพระเวทย์ให้ ต่างแทนความคิดถึงในพระนางรัตนาวดี พญาอนันตนาคราช ทรงทราบความจริงนี้ ก็ทรงพระราชทาน พระนางมณีน้อย ให้แด่ท่านพญาเวธัตตษีย์
โดยมีพญาเพชรภัทรนาคราช พระเชษฐา ร่วมพระโลหิต คอยให้การดูแล พร้อมด้วย พญาภาคินทร์ นาคราช
เมื่อพระนางได้โตเจริญชันษา พระนางศรีปทุมมา ได้จัดการเจรจา ขอพระนางมนตรามณีนฤมาสมาดูแล และให้อภิเษกแด่ พญาดำแสนสิริจันทรานาคราช พระราชโอรส รัชทายาท ในพญาศรีสัตตนาคราช ทั้งสองพระองค์มีความสมัครพระทัยใคร่เสน่หาต่อกัน ไม่น้อย และเหมือนความรักของทั้งสองพระองค์จะราบรื่น ด้วยพระนางมณีนฤมาส ก็ปรารถนาอยากมีรักเดียวเช่น กับพระเชษฐา พญาเพชรภัทรนาคราช ที่มีต่อ พระชายา อัญญารินทร์ธสินีเทวี
พญาดำแสน เนื่องจากทรงมีนิสัยเลือดร้อน และมีความต้องการทำหน้าที่กษัตริย์ในการรวมเมืองน้อยใหญ่ เรื่องการอภิเษกรับราชธิดาตามเมืองต่างๆ จึงตามมา ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนา
เรื่องความรักของพระนาง จึงทรงหนีพระสวามี และได้ถอดถอนจิตถอนความรักปราถนาที่มีต่อ
พระสวามีโดยสิ้น โดยลั่นสัจจะวาจาไว้เพียงว่า หากปราถนาจะมีรัก ขอดำรงคงมั่นเพียงรักเดียว คือรักท่าน รักข้า รักเราตราบเท่าเข้านิพพาน
ทรงศรัทธาในความรักที่เป็นรักแท้ของพระเชษฐา อย่างที่สุดและทรงปรารถนาให้ความรักของพระนาง และพระสวามีเป็นดั่งเช่น รักแท้ ด้วยทราบอย่างที่สุดแล้ว ว่าพระสวามีคือ ดำแสนที่เคียงข้างมณีจันทรา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทรงไม่ทนมากพอที่จะอยู่เคียงข้างเพื่อมองดูพระสวามีทรงรักยิ่งกว่าชีวิต ทรงรับราชธิดาหัวเมืองน้อยใหญ่เข้ามาอยู่ใต้การปกครองของพระองค์ พระนางมณีนฤมาสทรงเป็นจอมนาคิณีที่หยิ่ง ทรงรักศักดิ์ศรี เมื่อได้รับการปั่นคำลวงของชายา ผู้ที่เป็นขนิษฐาราชบิดาเดียวกัน อย่างไม่หยุด ทรงไม่คิดว่านี่คือคำลวงของน้องที่ต้องการสวามีของตนเอง แต่จะทรงโทษน้องอย่างเดียวก็คงไม่ได้ เพราะสวามีของพระนางเองก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธ ดังนั้นพระนางทรงคิดเพียงว่า หากพญาดำแสน ยังคงไม่หยุด ไม่พอ พระองค์เองที่ควรหยุดและพอ …
พระนางจึงทรงอธิษฐานจิตเพื่อมาเกิดในเมืองมนุษย์เพื่อจะบำเพ็ญธรรม จากการจากไปของพระนางผู้เป็นที่รัก ผู้ร่วมทุกข์สุขมาด้วยกัน พญาดำแสน ได้สะท้อนพระทัย ในความกระหายในอำนาจ จนทำให้ได้ทำร้ายจิตใจหญิงเดียวที่ปรารถนาดีต่อ พระองค์ทรงตามหาพระชายานฤมาสอย่างพลิกผืนฟ้าแลแผ่นดิน แต่ไม่ทรงพบเลย ไม่ว่าท่านนฤมาสจะไปเกิดในภพภูมิใด ด้วยดวงจิตพระนางขอถอดถอนจิตที่พันธ์ผูกกับพระองค์ไว้ และเมื่อพระองค์ได้สูญเสียพระชายานฤมาสไป พระองค์จึงทรงระลึกรู้ตัวได้ ว่าพระองค์ทำหัวใจของพระองค์สูญหายไปด้วยตัวพระองค์เอง
ครั้นเมื่อพญาเพชรภัทรนาคราช พญาเกล็ดแก้ว ทรงพบพระชายาที่มาอุบัติในภพนี้ พระองค์ทรงพบพระขนิษฐาของพระองค์เช่นกัน ด้วยพระนางก่อนสิ้นชีพด้วยจิตสุดท้ายที่พันธ์ผูกกับวันที่พระชายาแก้วของพระเชษฐาสิ้นพระชนม์ก็เป็นคำสัญญาที่แรงมีกำลังรวมมาในดวงจิตตอนตาย จึงมาเจอและเกื้อหนุนกันมาจนภพชาติปัจจุบัน
พญาเพชรภัทร ทรงตรัสบอกเจ้าชายเล็กเรื่องคนที่พระองค์ประสงค์ที่จะพบเจอกันอีกสักครั้ง เพื่อขอโอกาสที่จะทำให้รักของพระองค์และพระนาง
เป็นดั่งรักแท้ ตามพระประสงค์ของพระนาง ด้วยพญาดำแสน ณ ตอนนี้ ท่านทรงรู้ด้วยตัวของท่านเองแล้วว่าสิ่งใดเป็นที่สุดแห่งหัวใจ เป็นลมหายใจของพระองค์เอง นับจากเสียพระชายาไป ท่านทรงเก็บองค์บำเพ็ญพร้อมทั้งตามหา ทรงหยุดล่าหัวเมือง ทรงหยุดรับราชธิดา ในทุกเมืองน้อยใหญ่ ทรงถวายตัวถวายใจขอเป็นศิษย์ ของพญาเพชรภัทร พญาเกล็ดแก้วเทวะ เพื่อปฏิบัติเข้าสู่กระแสนิพพาน และเมื่อทรงปรากฏนภานิมิตรแด่ผู้ที่ทรงรอคอย ทรงมาดูเพื่อให้แน่ใจ ว่ายังทรงต้องการกันหรือไม่ และทรงทราบยิ่ง หากต้องการพระนางกลับคืน พระองค์ต้องพร้อมที่จะดำรงรอยตามพระเชรษฐาพญาเพชรภัทรนาคราช และพระชายาเทวีเกล็ดแก้ว ทั้งเรื่องการสร้างเหตุให้สมหวังในรักโดยสร้างเหตุกับคู่บารมี ที่เป็นรักแท้ และเรื่องการสร้างเหตุปัจจัยเพื่อเข้าสู่กระแสนิพพาน
เมื่อพระองค์หวังในโอกาส คนที่พระองค์ตามหา รึรอคอยจึงให้โอกาสนี้แด่พระองค์ ให้ทรงได้สร้างเหตุถมเหตุได้อย่างเต็มที่ตามพระประสงค์ของพระองค์เอง ด้วยการเริ่มใหม่ทั้งสิ้น ด้วยพระนางได้ถอนจิตที่พันธ์ผูกพระองค์ไปแล้วโดยสิ้น
พระองค์ทรงอดทนอย่างยิ่งในการรื้อสานสัมพันธ์ครั้งนี้ ทรงเคร่งครัดในศีล ในธรรม ทรงปกป้องคุ้มครองไม่ห่างไม่หายไปจากสายพระเนตร
กาลเวลาล่วงไป องค์ดำแสนครองราชย์สมบัติ ณ วังบาดาลจึงเบื่อหน่ายและสละราชสมบัติต่อให้ราชโอรสสืบสานต่อ และพระองค์ได้นำ “หอกศรีอนันต์เศษ” ที่รับประทานจากพญาอนันตนาคราช ได้เคยทำศึกเข่นฆ่าศัตรูมากมายไปทำลายตรงหน้าผา โดยทำลายให้เป็นผุยผงหล่นกระจายไปในทะเล แต่ด้วยอานุภาพแห่งหอกที่หล่อจาก บุญญาธิการของพญาอนันตนาคราชนั้น ทำให้ผงของหอกนั้นมีสีเทามันวาวขยายแผ่ปริมาณออกไปอย่างอนันต์ และกระจายไป 2 ทิศทาง คือ
ทางแรก ได้ไหลไปตามน้ำและไปรวมกันอยู่ตามชายฝั่งของเกาะหนึ่งไม่ไกลจากวังบาดาลของพระองค์ ต่อมามีผู้คนมาอาศัยเกาะนี้ และได้ขุดเจอผงแร่ที่เกิดจากหอกศรีอนันต์เศษ ที่เป็นเกร็ดประกายใส จึงเรียกว่า “แร่ดีบุก” เป็นเหมือนก้อนเกร็ดเม็ดเล็กๆที่ขยายตัวเองได้จนเต็มพื้นที่เกาะเป็นภูเขา ชาวบ้านจึงเรียกเกาะนั้นว่า “เกาะภูเกร็ด” ต่อมาจึงเรียกว่า “เกาะภูเก็ต”
ส่วนทิศทางที่สองผงศรีอนันตเศษ ได้ลอยน้ำไปทางเหนือซึ่งไปรวมตัวยังริมชายฝั่งอันดามันกลายเป็นแร่ใส กาลต่อมามนุษย์ได้มาตั้งรกรากที่นั่นและได้นำเอาผงแร่ที่เกิดจากหอกศรีอนันค์เศษนั้นมาสร้างวัตุถต่างๆ และแร่นี้ได้ขยายตัวไม่จำกัดเช่นกัน ยิ่งนำไปใช้ยิ่งเพิ่มปริมาณ จนเอ่อนองพื้นที่รอบชายฝั่ง ชาวบ้านจึงเรียกพื้นที่เมืองนั้นว่า แร่นอง หรือ “เมืองแร่นอง” จนต่อมาจึงเพี้ยนกลายมาเป็น “เมืองระนอง”
จากนั้นพระองค์ทรงเก็บองค์เข้าบำเพ็ญ พร้อมทั้งตามหาพระชายาผู้ที่พระองค์รักยิ่งกว่าดวงใจ
และเมื่อพบแล้ว เจอแล้ว ทรงไม่คิดห่างไปไหนอีก ทรงไม่ปล่อยให้พระชายาของพระองค์ห่างไปจากสายตา ทรงร่วมบำเพ็ญ ร่วมสร้างเหตุแห่งรักแท้ในคู่บารมี และสร้างเหตุปัจจัยเพื่อเข้าสู่กระแสนิพพาน ร่วมกับดวงใจของพระองค์
"มีมณีจันทรามนตราวิชุรามณีนฤมาสที่ใด ย่อมมีดำแสนเคียงข้างกัน ตราบเท่าเข้านิพพาน"