แมงดานาและการเลี้ยงแมงดานา
แมงดานาถือเป็นแมงอาหารที่นิยมนำมาประกอบอาหารชนิดหนึ่งเนื่องจากให้กลิ่นเฉพาะตัวที่หอมเมื่อนำมาใส่อาหารจะช่วยเพิ่มหรือปรับปรุงกลิ่นของอาหารให้น่ารับประทานมากขึ้นอาหารที่นิยมใช้แมงดานาเป็นส่วนประกอบได้แก่น้ำพริกแมงดาซุปหน่อไม้อาหารประเภทยำเป็นต้น
แมงดานาจัดอยู่ใน Order Memitera ใน Family belostomatidae มีลักษณะรูปร่างรูปไข่ลำตัวแบนยาวประมาณ 2.5 - 5 เซนติเมตร ลำตัวมีสีน้ำตาลมีขนขนาดเล็กปกคลุมมีขา 6 ขา ขาคู่หน้าใช้สำหรับจับเหยื่อการคุ้ยหาอาหารส่วนขา2คู่หลังใช้สำหรับการว่ายน้ำและการเดิน
อาหารของแมงดานาคือลูกอ๊อดลูกปลาขนาดเล็กหรือสัตว์น้ำขนาดเล็กเวลากลางคืนชอบบินเข้าหาไฟโดยเฉพาะไฟสีม่วง
แมงดานา
ประโยชน์
1.ทางด้านอาหาร
แมงดานาถือเป็นแมงที่เป็นอาหารที่นิยมอย่างมากในปัจจุบันเพราะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่มาจาก glandliquid ที่เป็นฟีโนโมนเพศสำหรับดึงดูดตัวอีกฝ่ายในการผสมพันธุ์ที่ประกอบด้วยสารหลายชนิด เช่น trans - 2 - hexan - 1 - ylacetate สารที่มีกลิ่นหอมนี้จะมีทั้งตัวผู้และตัวเมียแต่จะพบมีกลิ่นแรงที่ตัวผู้มากกว่าตัวเมียและจะมีเฉพาะตัวที่แก่เต็มวัยที่เข้าสู่วัยผสมพันธุ์เท่านั้นตำแหน่งของglandliquidที่เป็นบริเวณให้กลิ่นหอมจะอยู่ตรงบริเวณช่วงท้องค่อนไปด้านหลังมีลักษณะเป็นท่อยาวสีขาวห่อหุ้มด้วยเยื่อเมือก
ด้วยความมีเอกลักษณ์ของกลิ่นที่มีกลิ่นหอมคนไทยจึงนิยมนำแมงดานามาประกอบอาหารเพื่อให้มีกลิ่นของอาหารที่น่ารับประทานโดยเฉพาะการทำน้ำพริกแมงดาหรือผสมในอาหารอย่างอื่นเพื่อเพิ่มกลิ่นหรือปรับปรุงกลิ่นเช่นใส่ในซุบหน่อไม้เป็นต้น
การนำแมงดานามาประกอบอาหารนิยมนำแมงดานามาเผาไฟให้สุกก่อนเพื่อให้ความร้อนกระตุ้นให้มีกลิ่นมากขึ้นแล้วจึงมาตำผสมกับอาหารหรือบดแล้วคลุกใส่อาหารนอกจากนั้นยังสามารถเก็บแมงดานาให้สามารถเก็บได้นานด้วยวิธีการดองเค็มกับน้ำปลาหรือน้ำเกลือ
เนื่องจากแมงดานาในปัจจุบันเป็นที่หายากจึงมีการสังเคราะห์สารเลียนแบบ trans - 2 - hexan - 1 - ylacetate ซึ่งจะให้กลิ่นเหมือนกลิ่นแมงดานามาใช้สำหรับปรุงอาหารโดยเฉพาะอุตสาหกรรมทำน้ำพริกแมงดาที่ต้องใช้ในปริมาณมาก
2.ด้านนิเวศวิทยา
แมงดานาพบได้ทั่วไปในนาข้าวหรือบริเวณแหล่งน้ำขนาดตื้นจะพบมากในช่วงต้นฤดูทำนาหลังจากน้ำขังในแปลงนาในต้นฤดูฝนแมงดานาถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศในแปลงนาหรือแหล่งน้ำมีอาหารสำคัญที่เป็นลูกอ๊อดของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำหรือสัตว์น้ำขนาดเล็กจึงถือเป็นผู้ล่าชนิดหนึ่งที่ช่วยให้ระบบนิเวศในแหล่งนั้นสมดุล
การเลี้ยงแมงดานา
การสร้างโรงเรือนและการเตรียมบ่อ
บ่อน้ำถือเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงสำคัญของแมงดานานิยมสร้างด้วยการก่อบ่อซีเมนต์หรือซื้อบ่อซีเมนต์สำเร็จรูปหากก่อเองควรก่อบ่อเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง 2 - 3 เมตรยาว 4 - 5 เมตร ก่ออิฐสูงประมาณ 0.8 - 1 เมตร หรืออาจเพิ่มขนาดหรือลดขนาดตามความเหมาะสม
สำหรับโรงเรือนจะใช้ในกรณีที่เลี้ยงจำนวนหลายบ่อหรือเลี้ยงในบ่อขนาดใหญ่ปลูกด้วยเสาไม้หรือเสาปูนเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือตามลักษณะบ่อที่ก่อและคลุมด้วยมุ้งลวดหรือตาข่ายขนาดตาถี่ที่แมงดาไม่สามารถลอดผ่านได้
หากต้องการประหยัดเงินทุนมักนิยมก่อบ่อให้สูง 1 - 1.2 เมตรแล้วใช้มุ้งลวดหรือตาข่ายคลุมปิดบนบ่อแทนซึ่งไม่จำเป็นต้องสร้างโรงเรือนก็ได้
ส่วนการใช้ถังซีเมนต์สำเร็จรูปหรือถังพลาสติกควรให้มีความสูงอย่างน้อย1เมตรขึ้นไปหรืออาจต่ำกว่านี้หากหาไม่ได้แล้วใช้ตาข่ายหรือมุ้งลวดปิดคลุมด้านบนเหมือนกัน
การใส่น้ำเข้าบ่อ
ปริมาณความสูงของน้ำที่ใช้เลี้ยงแมงดานาจำเป็นต้องให้มีระดับความสูงที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติที่แมงดานาเลือกวางไข่ที่ความสูงประมาณ 30 - 50 เซนติเมตรโดยไม่ควรให้น้ำต่ำหรือสูงกว่านี้
วัสดุวางไข่
โดยธรรมชาติการวางไข่ของแมงดานาจะวางไข่บนลำต้นของพืชหรือกิ่งไม้เหนือน้ำดังนั้นจึงจำเป็นต้องวางวัสดุสำหรับการวางไข่เช่นไม้ไผ่กิ่งไม้แต่หากให้ดีควรปลูกพืชน้ำในกระถางเช่นข้าวกกไหลธูปฤาษีแล้วนำมาวางในบ่อจะดีที่สุด
ไข่แมงดานา
การปล่อยพ่อแม่พันธุ์
พ่อแม่พันธุ์ที่ใช้เลี้ยงควรมีอายุตั้งแต่1ปีขึ้นไปโดยสังเกตได้จากสีของปีกที่มีลักษณะสีน้ำตาลปนด้วยหลายแถบสีดำเข้มอัตราการปล่อยตัวผู้1ตัวต่อตัวเมีย 2 ตัว โดยตัวเมีย 1 ตัว ควรให้มีพื้นที่ประมาณ 2 ตารางเมตร เพราะตัวเมีย 1 ตัว จะออกไข่และฟักเป็นตัวได้ประมาณ 100 - 200 ฟอง ดังนั้นหากบ่อมีขนาด 2 x 5 เท่ากับ 10 ตารางเมตร จะใช้ตัวเมียประมาณ 4 - 5 ตัว ตัวผู้ประมาณ 2 - 3 ตัว สำหรับบ่อซีเมนต์หรือถังพลาสติกทรงกลมมักมีขนาดเหมาะสำหรับตัวเมีย 1 ตัว และตัวผู้ 1ตัว เท่านั้น
การปล่อยพ่อแม่พันธุ์จะเริ่มปล่อยหลังการนำน้ำเข้าบ่อประมาณ 2 - 3 วัน เพื่อปรับคุณภาพน้ำก่อนโดยเฉพาะบ่อที่สร้างใหม่จะต้องขังน้ำ 14 วันถึง 1 เดือนก่อนแล้วปล่อยน้ำทิ้งก่อนนำน้ำเข้าใหม่
การเลี้ยงและดูแล
การปล่อยพ่อแม่พันธุ์และเริ่มเลี้ยงจะอยู่ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมซึ่งเป็นช่วงต้นฤดูฝนที่มีอากาศความชื้นและปริมาณฝนตกที่สามารถกระตุ้นให้แมงดานาเริ่มการผสมพันธุ์
อาหารที่ให้จะเป็นลูกปลาขนาดเล็กกุ้งลูกอ๊อดลูกน้ำม้าน้ำจืดหรือสัตว์น้ำขนาดเล็กโดยการปล่อยเลี้ยงในบ่อเพื่อแมงดานาจับกินอาหารเองตามธรรมชาติ
ตัวอ่อนแมงดานา
เมื่อแมงดานาออกไข่และฟักเป็นตัวหมดแล้วให้จับพ่อแม่พันธุ์แยกออกเลี้ยงต่างหากหรือจับจำหน่ายหลังจากนั้นจึงเริ่มอนุบาลและเลี้ยงลูกแมงดานาให้โตเต็มวัย
การจับแมงดานา
แมงดานาที่โตเต็มวัยพร้อมที่จะจับจำหน่ายจะมีอายุประมาณ8เดือนถึง1ปีโดยให้จับจำหน่ายในช่วงก่อนเริ่มฤดูฝนในปีถัดไป
การจับแมงดานาตามธรรมชาติ
แมงดานาในธรรมชาติมักพบได้ตามแหล่งน้ำตื้นที่เป็นแหล่งน้ำขังใหม่เช่นทุ่งนาทุ่งนาร้างบ่อที่มีน้ำตื้นและพื้นที่น้ำขังใหม่ต่างในช่วงต้นฤดูฝน
การจับแมงดานาธรรมชาติจะเริ่มจับประมาณเดือนฤษภาคม-กันยายนที่เป็นช่วงฤดูผสมพันธุ์และวางไข่ซึ่งช่วงนี้แมงดานาจะมีกลิ่นหอมแรงกว่าช่วงอื่นๆเนื่องจากมีการปล่อยสารฟีโรโมนออกมามากวิธีการจับแมงดานาตามธรรมมี 2 วิธีที่นิยม คือ
1.การงม
การจับจะเริ่มด้วยการหาแหล่งน้ำตื้นตามทุ่งนาและแหล่งน้ำขังตื้นๆโดยให้มองหาไข่แมงดาที่ติดกับต้นหญ้าหรือต้นข้าวหากพบไข่ให้แล้วจะใช้วิธีการมองหาแม่แมงดาในน้ำ(หากน้ำใสพอ)แต่หากน้ำขุ่นจะใช้วิธีการงมหาด้วยการกวาดมือเบาๆงมตามพื้นรอบต้นหญ้าที่มีไข่อยู่ซึ่งจะงมเจอได้ง่ายแต่ควรระวังการเดินลงน้ำต้องค่อยๆเดินและการกวาดมืองมต้องค่อยงมหาเช่นกัน
2.หลอดไฟล่อแมลง
เป็นการใช้หลอดไฟล่อแมงหรือแมลงต่างๆเช่นหลอดสีม่วงเปิดตลอดเวลากลางคืนเพื่อล่อให้แมลงรวมถึงแมงดานาบินมาหาไฟและตกลงอ่างที่ใส่น้ำไว้รองรับด้านล่างหลอดไฟวิธีนี้จะจะบแมงดานาได้มากและง่ายเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด
ที่มา http://www.topicza.com/news66221.html